วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การเดินทางของชีวิต...





การเดินทางของชีวิต..
มิใช่มีเพียงต้องเดินหน้าเสมอไป
บางครั้งเราก็อาจต้องถอยหลังบ้าง
เพื่อจะก้าวเดินไปข้างหน้าได้ยาวไกลขึ้น
เป็นการถอยเพื่อจะก้าวต่อ
มิใช่ถอยเพื่อจะท้อหรือทอดวาง
เพราะบางครั้งการขืนดึงดันที่จะก้าวต่อ...
ทั้งที่รู้ว่าอาจเกิดอันตรายจะมีประโยชน์อันใด
การจะก้าวข้ามฝั่ง “สายน้ำชีวิต” ยามที่ไม่มีสะพานให้ก้าวข้าม
บางครั้งเราอาจต้องยอมเดินย้อนถอยกลับไป
เพื่อหาวิธีข้ามสู่อีกฟากฝั่งโดยใช้ “สะพานใจ”

เช่นเดียวกับยามที่เจอะเจอปัญหา
ลองถอยห่างออกแล้วมองเข้าไป... 
ว่าเราจะหาทางออกต่อได้อย่างไร ?.. 
เพราะถ้าเราจมอยู่กับปัญหาหนทางก็อาจจะยิ่งมืดมน
การถอยหรือหลบเลี่ยงมิใช่ว่าเป็นการแพ้หรือล้มเหลว
แต่คือท่วงทำนองของการดำเนินชีวิต...
ถ้าบางครั้งจำเป็นต้องหยุดนิ่งบ้าง...
ก็คงไม่ใช่เรื่องต้องทุกข์ร้อนหรือผิดอันใด
หยุดนิ่งเพื่อไตร่ตรองและก้าวต่อ
คงดีกว่าขืนดึงดันจนเหยียบ “กับดักของชีวิต”
ที่บางครั้งอาจทำให้เราเดินต่อได้ยากยิ่งกว่า

ก้าวที่เดินไป...จุดที่ยืนอยู่...
ไม่สำคัญว่าจะยิ่งใหญ่มากหรือน้อยกว่าใครๆอื่น...
เพราะองค์ประกอบ ปัจจัย และโอกาส
ของแต่ละคนย่อมมีแตกต่างกันไป...
เพียงเราตระหนักในคุณค่าของตัวเอง
ในสิ่งที่เราทำ ในก้าวที่เราก้าว
และรู้ว่าทุกหน้าที่การงาน...
ทุกภาระความรับผิดชอบ ล้วนมีคุณค่าในตัวเอง

ก้าวอาจช้าไปบ้าง  ...
ข้างทางอาจไม่เป็นอย่างที่หวังไปทั้งหมด 
แต่อย่างน้อยเราก็ภูมิใจได้มิใช่หรือ
ที่ขณะเวลาที่ผ่านไป...
เราได้สร้างคุณค่าด้วยสองมือ ของเราเอง
ที่ความยิ่งใหญ่อยู่ที่ความทุ่มเทด้วยกายและใจ
ที่ความสำเร็จอยู่ที่เราได้ลงมือทำด้วยความตั้งใจ
เพียงอย่าหวั่นกังวลกับจังหวะที่เดิน...
ว่าจะเหมือนหรือต่างจากใคร...
เพราะชีวิตย่อมก้าวไปด้วยจังหวะของเราเอง ..มิใช่หรือ ... 


"ช่วงหนึ่งในการเดินทางของชีวิต อาจจะดูมืดมิดไร้จุดหมายไปบ้าง
ถึงจะไกลแค่ไหนกับระยะทาง ก็ไม่เคยคิดจะปล่อยวางทิ้งมันไป 
บางทีก็ต้องอยู่อย่างเหงา-เหงา บางทีก็เศร้า-เศร้า อยากจะร้องไห้ 
บางครั้งความสุขเข้ามาแล้วก็จากไป ไม่เคยเห็นมีอะไรที่แน่นอน.."
นี่แหละ..คือ "ชีวิต"

ยางลบกับดินสอ



 


มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่ง 
มียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่ง 

ฟังดูอาจตลกทุกคนอาจคิดว่าดินสอกับยางลบเป็นของคู่กันแต่ลองอ่านดูก่อนนะ 
ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้น ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกัน 
หน้าที่ของดินสอก็คือเขียน มันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ 
หน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลา 

เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมา 
จนกระทั่งดินสอเอ่ยกับยางลบว่า เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว 
ยางลบจึงถามว่าทำไมล่ะ ดินสอจึงตอบกลับไปว่า 
ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย 

ยางลบจึงเถียงว่า เราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิด 

ทั้งคู่จึงแยกทางกัน 
ดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน 
แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิดข้อความที่สวยๆที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรก 
มีแต่ รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด มันคิดถึงยางลบจับใจ 

ฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป 
พอเวลาผ่านไป มันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบ 
มันคิดถึงดินสอจับใจ 


ทั้งคู่จึง กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่ 
คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งที่ดี 
ส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิด เท่านั้น 

ถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำดินสอ ในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี 
แต่พอเปลี่ยนไป มันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดีๆเท่านั้น 
ส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืม ยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี 

แต่ทุกครั้งที่ลืมเรื่องไม่ดีตัวมันก็จะสกปรกแต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดี 
หรือ คือการให้อภัยนั่นเอง 


ฉะนั้น 
การเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ 
คือ การจำแต่สิ่งดีๆ และลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง 
ขอให้ทุกคนเป็นอย่างดินสอกับอย่างลบตอนหลังนะ 




วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ครูคือใคร...?

          พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ให้ความหมายของคำว่า “ครู” ไว้ว่า ผู้สั่งสอนศิษย์ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ โดยมีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี สันสกฤต ว่า “คุรุ” ซึ่งหมายถึง หนัก
          ส่วนคำว่า “อาจารย์” หมายถึง ผู้สั่งสอนวิชาความรู้ หรือคําที่ใช้เรียกนําหน้าชื่อบุคคลเพื่อแสดงความยกย่องว่ามีความรู้ในทางใดทางหนึ่ง มาจากภาษาบาลี สันสกฤตว่า “อาจริย” ซึ่ง จริย หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ
          จากความหมายดังกล่าว การทำหน้าที่แต่เพียงถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ จึงยังไม่เพียงพอที่จะเป็น “ครู” หรือ “อาจารย์” แต่จะต้องประกอบด้วยการทุ่มเทกายใจในการถ่ายทอดความรู้รวมถึงการเป็นแบบอย่างที่ดีด้านความประพฤติ
           โดยนัยยะ จะเป็น “ครู” หรือ “อาจารย์” จึงไม่ใช่ของง่าย ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้ว่า คำว่า “ครู” เป็นคำที่สูงมาก เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็นำให้เกิดทางวิญญาณไปสู่คุณธรรมเบื้องสูง เป็นเรื่องทางจิตใจโดยเฉพาะ มิได้หมายถึงเรื่องวัตถุ

            เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เขียนกวีบท “ใครคือครู” ได้อย่างน่าประทับใจ เพราะชี้ให้เห็นว่าค่าของความเป็นครูนั้นอยู่ที่การ “ยกระดับจิตใจ” ให้ศิษย์ มิใช่การสอนให้ศิษย์เป็นเลิศด้านวิชาการแต่เพียงอย่างเดียว กวีบทนี้เคยใช้ประกอบโฆษณาทางโทรทัศน์ คาดว่าหลายท่านคงผ่านผ่านตามาบ้าง


ครูคือใคร...

ใครคือครู ครูคือใคร ในวันนี้ 
ใช่อยู่ที่ ปริญญา มหาศาล 
ใช่อยู่ที่ เรียกว่า ครูอาจารย์ 
ใช่อยู่นาน สอนนาน ในโรงเรียน 

ครูคือผู้  ชี้นำ  ทางความคิด 
ให้รู้ถูก รู้ผิด คิดอ่านเขียน 
ให้รู้ทุกข์  รู้ยาก รู้พากเพียร 
ให้รู้เปลี่ยน แปลงสู้ รู้สร้างงาน 

ครูคือผู้  ยกระดับ วิญญาณมนุษย์ 
ให้สูงสุด กว่าสัตว์  เดรัจฉาน 
ปลุกสำนึก  สั่งสม อุดมการณ์ 
มีดวงมาน เพื่อมวลชน ใช่ตนเอง 

ครูจึงเป็น นักสร้าง  ผู้ใหญ่ยิ่ง 
สร้างคนจริง  สร้างคนกล้า สร้างคนเก่ง 
สร้างคนให้ ได้เป็นตัว ของตัวเอง 
ขอมอบเพลง  นี้มา บูชาครู 

...เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์...

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การเรียนการสอน วิชา การประยุกต์ใช้โปรแกรมทางด้านสื่อฯ 4124601A

           วันนี้ข้าพเจ้าเรียนวิชา การประยุกต์ใช้โปรแกรมทางด้านสื่อฯ 4124601A   ได้เรียนรู้ ความหมายและประเภทของสื่อการเรียนการสอน รวมถึง—คุณค่าของสื่อการสอน หลักการเลือกสื่อการสอน รูปแบบและวิธีการใช้เทคโนโลยีการเรียนการสอน

เชื่อหรือไม่ว่า “ภาพหนึ่งภาพสามารถให้ความหมายแทนคำพูดได้ถึง 1,000 คำ”

              กิดานันท์ มลิทอง (2549: 100) ได้ให้ความหมายคำว่า สื่อ (medium,pl.media) เป็นคำมาจากภาษาลาตินว่า “ระหว่าง” (between) หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่บรรจุข้อมูลสารสนเทศ หรือเป็นตัวกลางข้อมูลส่งผ่านจากผู้ส่งหรือแหล่งส่งไปยังผู้รับเพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถสื่อสารกันได้ตรงตามวัตถุประสงค์

              สื่อการเรียนการสอน หมายถึง ตัวกลางหรือช่องทางถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ จากแหล่งความรู้ไปสู่ผู้เรียน และทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสื่อการเรียนก็นับได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนผู้สอนได้แสดงบทบาท และเกิดความเข้าใจในวิชาที่เรียนที่สอนกันได้มากขึ้น

           การแบ่งประเภทของสื่อการเรียนการสอน
  1. สื่อการเรียนการสอนแบ่งตามคุณลักษณะ 
  2. สื่อแบ่งตามประสบการณ์การเรียนรู้
  3. สื่อการเรียนแบ่งตามรูปแบบ
         สำหรับวันนี้ครูผู้สอนก็ได้ให้ทำกิจกรรม ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม 5 กลุ่ม โดยให้แต่ละกลุ่มอธิบายและนำเสนอวิธีการในการใช้สื่อการสอนตาม “กรวยประสบการณ์” ที่กลุ่มของตนเองได้รับ


                 เอ็ดการ์ เดล เชื่อว่าประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม จะทำให้เกิดการเรียนรู้แตกต่างจากประสบการณ์ที่เป็นนามธรรม ดังนั้นจึงจำแนกสื่อการสอนโดยยึดประสบการณ์เป็นหลัก เรียงตามลำดับจากประสบการณ์ที่ง่ายไปยาก 10 ขั้น เรียกว่า “กรวยประสบการณ์ (Cone of Experience)”

เครดิต : อ.ชนิดา เรืองศิริวัฒนกุล

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การเรียนการสอนวิชา การฝึกปฏิบัติวิชาชีพครูระหว่างเรียน 2


          วันนี้ข้าพเจ้าเรียนวิชา การฝึกปฏิบัติวิชาชีพครูระหว่างเรียน 2  สำหรับการเรียนการสอนวันนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับ "ครู" มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

            1. สมรรถภาพของครูในด้านความรู้
            2. สมรรถภาพของครูในด้านเทคนิคการสอน
            3. สมรรถภาพของครูในด้านคุณลักษณะและเจคติ
            4. จรรยาบรรณครู

แต่ที่สำคัญคือ... จรรยาบรรณครู 9 ข้อ  นี้!!!  ... "ข้าพเจ้าต้องท่องจำให้ได้!!!"

คุรุสภา ได้ออกจรรยาบรรณครู 9 ข้อ เมื่อปี พ.ศ. 2539 ความว่า....

1. ครูต้องรักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า

2. ครูต้องอบรม สั่งสอน ฝึกฝน สร้างเสริมความรู้ ทักษะและนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้แก่ศิษย์ อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ

3. ครูต้องประพฤติ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ

4. ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์

5. ครูต้องไม่แสดดงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และไม่ใช้ศิษย์กระทำการใดๆ อันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ

6. ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิชาการ เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองอยู่เสมอ

7. ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครู และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพครู

8. ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์

9. ครูพึงประพฤติ ปฏิบัติตน เป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย

สู้ๆ นะค่ะ!!!!!!!!!!! คุณครูพันธุ์ใหม่ทุกคน ^^

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ของ "โน๊ต อุดม แต้พานิช"

สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ของ "โน๊ต อุดม แต้พานิช"



1. มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
2.
แฟนของคนอื่นมักจะสวยกว่าแฟนของตัวเอง
3.
เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์เสียงมันมักจะหยุดเราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ
4.
ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
5.
เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักทีให้พูดว่าไม่เอาจะได้เร็ว
6.
ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะจะมีพนักงานพุ่งมาทันที
7.
ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
8.
ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก, อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
9.
ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
10.
ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ
11.
อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
12.
หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู
13.
อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ
14.
อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก
15.
เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ
16.
อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
17.
รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
18.
ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้     ยังไงเพื่อนต้องมี
19.
อย่าเข้าใกล้หมาตอนกินข้าว
20.
ตลาด อตก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ ติง เกินราคา
21.
เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
22.
ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
23.
คนไม่กินเนื้อไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป
24.
เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย
25.
ปูอัด มันทำจากปลา กระเพาะปลามันทำมาจากหนังหมู
26.
กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
27.
อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
28.
ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น  ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2 ผอมลงนะ  ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา
29.
คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเขาไม่มีตู้  เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร
30.
คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลาย ๆ ตัวเป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
31.
คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
32.
ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
33.
จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
34.
เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ
35.
ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
36.
ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต,   ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน



.."มันใช่เลย!!!!!!!!".. 5555555555555

เครดิต : อุดม แต้พานิช

จงฉลาดพอที่จะอ่าน


จงฉลาดพอที่จะอ่าน

จงฉลาดพอที่จะอ่าน.....
จง…เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
จง...อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง
จง...ฟุ่มเฟือยน้ำใจ เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ
จง…คิดก่อนทุกครั้งที่จะปล่อยเงินออกจากมือ
จง...ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
จง...โง่พอที่จะเชื่อในปาฏิหาริย์
จง ...เต็มใจจะแบ่งปันความสุขของตัวเอง
จง...เต็มใจที่จะแบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่น
จง...เป็นผู้นำหากทางที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นั้นเลือนราง
จง...เป็นผู้ตามหากตกอยู่ในวงล้อมแห่งความไม่แน่นอน
จง...เป็นคนแรกที่แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง
จง...เป็นคนสุดท้ายที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน
จง...มองเพียงแค่ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม
จง..มองไปยังจุดหมายปลายทางให้แน่ใจว่า ไม่ได้กำลังเดินผิดทาง
จง..ใช้เวลามอง หรือให้โอกาสกับตัวเองที่จะเรียนรู้คนที่เขาบอกรักคุณ
จง...รักคนที่รักคุณ แม้อีก 5 ปี 10 ปี หรือ 50 ปีเขาก็ยังรักคุณ
จง...รักคนที่ไม่รักคุณแล้ว...สักวันนึงเค้าอาจจะเปลี่ยนใจมารักคุณ
จง...อย่าปล่อยให้คนที่รักคุณหลุดลอยไป
สุดท้าย จง...อย่าหลอกตัวเอง

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทำความรู้จักกับ 3G : 3G คืออะไร?




(ขอบคุณภาพประกอบจาก Twitter @worawisut)

เคยเห็นป้ายโฆษณาแนว ๆ นี้ตามท้องถนนไหม... หลายคนน่าจะคุ้นตากันมาบ้าง แต่เชื่อว่า ยังมีอีกหลายคนที่สงสัย ว่า "3G" ที่พูดถึงกัน มันคืออะไร?

วันนี้เราจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับ iPhone และระบบ 3G กัน...


[ 3G คืออะไร? ]

หากให้อธิบายอย่างง่าย ๆ 3G ก็เปรียบเสมือน "อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนโทรศัพท์มือถือ" นั่นเอง

นอกเหนือไปจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือเพื่อการสนทนา หรือส่งข้อความแล้ว การติดต่อทางอินเทอร์เน็ต ผ่านเครือข่ายสังคม (Social Network) และใช้งานบริการต่าง ๆ ที่ปกติเคยมีแต่บนคอมพิวเตอร์ อย่างอีเมลและการแชท (Chat) ก็แพร่หลายมาตั้งแต่ยุค 2G จนกลายเป็นการใช้งานหลักบนโทรศัพท์มือถือในทุกวันนี้ไปเสียแล้ว

iPhone รุ่นแรก ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 2007 ซึ่ง 3G ยังเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากในขณะนั้น แม้แต่สหรัฐฯเอง 3G ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมนัก เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่เร็วพอ กับราคารายเดือนที่สูงอยู่

ดังนั้น กว่า iPhone จะเริ่มรองรับ 3G ก็ปาไปรุ่นที่สองในปี 2008 หรือใน iPhone 3G นั่นเอง

เมืองไทยเองก็เพิ่งจะได้ใช้ 3G จริง ๆ จัง ๆ ในปีนี้ เมื่อ dtac และ AIS เริ่มให้บริการ 3G ในเขตเมืองใหญ่ อาทิ กรุงเทพฯและปริมณฑล เป็นต้น


[ วิวัฒนาการของ 3G ]


"แล้ว 3G แตกต่างจาก 2G อย่างไร?"

คำว่า 3G นั้นย่อมาจาก "3rd Generation" หรือยุคที่ 3 ของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ

หากย้อนเวลากลับไป เราจะพบว่า โทรศัพท์มือถือพึ่งถือกำเนิดขึ้นราวปี 1973 (พ.ศ. 2516) เท่านั้น
และกว่าจะถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย ก็อีก 6 ปีให้หลัง ในปี 1979 (พ.ศ. 2522) เมื่อ NTT Docomo ได้วางเครือข่าย “1G” ขึ้นในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเชิงพานิชย์ครั้งแรกของโลก

เครือข่าย 1G นั้นมีจุดอ่อนในเรื่องของระบบสัญญาณ ที่เป็นสัญญาณ Analog หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องการ “จูนคลื่นสัญญาณ” และ “การดักฟังโทรศัพท์” สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคนี้นั่นเอง



กว่าสิบปีให้หลัง ในปี 1991 (พ.ศ. 2534) ระบบเครือข่ายโทรศัพท์ Digital “GSM” ที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า “2G” ก็กำเนิดขึ้นในประเทศฟินแลนด์ และแพร่หลายไปทั่วโลก

ระบบ Digital นั้นกำจัดจุดบกพร่องของระบบ Analog ทิ้งไป รวมถึงนำบริการใหม่ ๆ มาสู่โทรศัพท์มือถือด้วย ไม่ว่าจะเป็นบริการส่งข้อความ (SMS) หรือการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต




(โทรศัพท์มือถือ 3G ในยุคแรก ๆ ยังต้องมีเสาสัญญาณยื่นออกมาเพื่อการรับสัญญาณที่ดี)

สิบปีถัดมา NTT Docomo เจ้าเดิม ได้ให้บริการ “3G” ขึ้นครั้งแรกในโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2001 (พ.ศ. 2544) โดยชูจุดขายเรื่องความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่สูงถึง 384kbps เมื่อเทียบกับอินเทอร์เน็ตตามบ้านสมัยนั้น ที่มีความเร็วเพียง 56kbps แล้ว ถือว่าเป็นความเร็วที่สูงกว่ามาก

แต่เทคโนโลยี 3G กลับยังไม่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการอัพเกรดเครือข่ายที่สูงจนเกินไปในการวางระบบใหม่ ทำให้ทั่วโลกยังเลือกที่จะใช้งาน 2G กันต่อไป



ปี 2003 (พ.ศ. 2546) เทคโนโลยีทดแทน อย่าง “GPRS” และ “EDGE” ถูกนำมาใช้งานแทนที่ 3G ในขณะนั้น ด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่ายในการติดตั้งที่ประหยัดกว่า และผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ ณ เวลานั้น ยังไม่พร้อมที่จะใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสักเท่าไร (ลองนึกถึงโทรศัพท์มือถือเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วสิครับ เราใช้อะไรกันอยู่?)

ในที่สุด ปี 2008 (พ.ศ. 2551) เทคโนโลยี 3G ก็เริ่มแพร่หลายสู่สากลโลก โดยมาในเวอร์ชันอัพเกรด อย่าง “HSPA” หรือ 3.5G ที่ให้ความเร็วในการเชื่อมต่อสูงกว่าเทคโนโลยี 3G เดิมมาก กอปรกับปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือมีสูงขึ้น ผู้ให้บริการจึงอัพเกรดเครือข่ายกันยกใหญ่ทั่วโลกนั่นเอง



[ อภิธานศัพท์ ]

GPRS หมายถึง General Packet Radio Service หรือเครือข่าย 2.5G มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุดที่ 56kbps
แต่ GPS คือ Global Position System ระบบระบุพิกัดที่ตั้ง โดยใช้ดาวเทียม ไม่เกี่ยวอะไรกับเครือข่ายมือถือเลย

EDGE ย่อมาจาก Enhanced Data rates for GSM Evolution หรือ GPRS เวอร์ชันอัพเกรด ให้ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุดที่ 236.8kbps



ในปัจจุบัน ประเทศไทยใช้เครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่รองรับการใช้งาน EDGE ทั่วประเทศแล้ว
แต่ถึงกระนั้น GPRS และ EDGE มีข้อจำกัดด้านการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ประการหนึ่ง คือไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์เพื่อโทรออก-รับสาย ไปพร้อม ๆ กับใช้อินเทอร์เน็ตได้

แต่ข้อจำกัดนี้ ถูกแก้ไขในเทคโนโลยียุค 3G ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “UMTS”

UMTS ย่อมาจาก Universal Mobile Telecommunications System เป็นโครงข่ายพื้นฐานของ 3G โดยมีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุดที่ 384kbps

แต่แค่ 3G ธรรมดานั้นไม่พอใช้แล้วในปัจจุบัน จึงมีการพัฒนาเครือข่าย 3G มาอย่างต่อเนื่อง แบ่งได้ ดังนี้

HSDPA ย่อมาจาก High-Speed Downlink Packet Access เป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มขีดจำกัดด้านความเร็วในการดาวน์โหลด หรือรับข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต จากเดิม 384kbps เป็น 1.8Mbps (1800kbps) จนถึง 14Mbps

ในขณะเดียวกัน ก็มี HSUPA หรือ High-Speed Uplink Packet Access ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลเช่นกัน เมื่อนำทั้งสองตัวมารวมเข้า จึงเรียกใหม่ว่า HSPA (High-Speed Packet Access)

และขั้นสูงสุดของ HSPA คือ HSPA+ หรือชื่อทางการตลาดว่า 3.9G หรือ 3G+ ก็ได้เพิ่มขีดจำกัดสูงสุดของการรับ-ส่งข้อมูลไปถึง 42Mbps




(กราฟแสดงความเร็วสูงสุดที่ iPhone รองรับ คลิกที่รูปเพื่อดูรูปขนาดเต็ม)

หากดูจากกราฟ iPhone รุ่นแรกรองรับเพียงแค่ EDGE ที่ความเร็ว 236.8kbps เท่านั้น

ในขณะที่ iPhone 3G ขยับขึ้นมารองรับ HSDPA ที่ความเร็ว 3.6Mbps และ iPhone 3GS ก็รองรับไปสูงขึ้นถึง 7.2Mbps

เมื่อถึงยุค iPhone 4 ก็ขยับมารองรับ HSUPA (จะเห็นว่าความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดทำได้ดีขึ้น)

และใน iPhone 4S ก็รองรับ HSPA+ ที่ความเร็วถึง 14.4Mbps ทีเดียว




[ 3G ในประเทศไทย ]


สำหรับในประเทศไทย ผู้ให้บริการรายใหญ่ทั้ง 3 ราย (dtac, AIS, true) ได้ให้บริการเครือข่าย 3G อย่างเป็นทางการในปีนี้ โดยมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมแตกต่างกันไป

ในด้านของความเร็ว ทั้ง 3 เจ้าใช้ “HSPA+” หรือชื่อทางการค้าว่า 3G+ ที่ความเร็ว 42Mbps กันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น dtac หรือ AIS ก็เช่นกัน (การจะได้ความเร็วสูงสุดตามทฤษฎี เสาในบริเวณนั้นต้องมีคนใช้คนเดียว และอุปกรณ์รองรับถึง ซึ่งแม้แต่ iPhone 4S ยังรองรับเพียง 14.4Mbps เท่านั้น)

โดยเสาสัญญาณจะปล่อยคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน ทำให้ iPhone 3G และ iPhone 3GS ไม่สามารถใช้งาน 3G ของ AIS ได้

นั่นหมายความว่า ผู้ใช้ iPhone 4 และ iPhone 4S สามารถเลือกใช้งาน 3G ในประเทศไทยได้อย่างอิสระ แต่ผู้ใช้งาน iPhone 3G และ iPhone 3GS จะเลือกใช้ได้เพียง dtac และ true


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.dtac.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เป้าหมายของชีวิต



โดยธรรมชาติแล้ว
ชีวิตย่อมมีเป้าหมายของชีวิตอยู่เอง
ครั้นเมื่อมนุษย์ช่างคิด ช่างฝัน
เขาจึงได้รังสรรค์เป้าหมายขึ้นใหม่
แล้วยอมเป็นทาสของเป้าหมายนั้นโดยดุษฏี

เป้าหมายของชีวิตที่มนุษย์คิดขึ้นนั้น
ไม่อาจนำมาซึ่งความเกษมสำราญที่แท้จริง
ทั้งยังอาจเป็นเหตุแห่งความทุกข์ยากไม่รู้จบสิ้น

เป้าหมายของการกระทำนั้นต้องมีอยู่
แต่ต้องไม่งมงายยึดมั่นเกินไป
เพราะความงมงายยึดมั่นเกินไป
ทำลายความสดชื่นมั่นคงในการดำเนินชีวิต

ดำรงจิตใจให้มั่นคง เริงรื่น ชื่นบาน
และเกษมสำราญกับการช่วยเหลือสรรพชีวิตเถิด
ชีวิตเฉพาะหน้าเช่นนั้น นั่นเอง
ที่ดำรงอยู่แล้วในเป้าหมายของชีวิตที่แท้

"จงเป็นในสิ่งที่ต้องเป็นให้เป็นสุข
อย่าพยายามเป็นให้เป็นทุกข์
ในสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็น.."