เคยเห็นป้ายโฆษณาแนว ๆ นี้ตามท้องถนนไหม... หลายคนน่าจะคุ้นตากันมาบ้าง แต่เชื่อว่า ยังมีอีกหลายคนที่สงสัย ว่า "3G" ที่พูดถึงกัน มันคืออะไร?
วันนี้เราจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับ iPhone และระบบ 3G กัน...
[ 3G คืออะไร? ]
หากให้อธิบายอย่างง่าย ๆ 3G ก็เปรียบเสมือน "อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนโทรศัพท์มือถือ" นั่นเอง
นอกเหนือไปจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือเพื่อการสนทนา หรือส่งข้อความแล้ว การติดต่อทางอินเทอร์เน็ต ผ่านเครือข่ายสังคม (Social Network) และใช้งานบริการต่าง ๆ ที่ปกติเคยมีแต่บนคอมพิวเตอร์ อย่างอีเมลและการแชท (Chat) ก็แพร่หลายมาตั้งแต่ยุค 2G จนกลายเป็นการใช้งานหลักบนโทรศัพท์มือถือในทุกวันนี้ไปเสียแล้ว
iPhone รุ่นแรก ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 2007 ซึ่ง 3G ยังเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากในขณะนั้น แม้แต่สหรัฐฯเอง 3G ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมนัก เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่เร็วพอ กับราคารายเดือนที่สูงอยู่
ดังนั้น กว่า iPhone จะเริ่มรองรับ 3G ก็ปาไปรุ่นที่สองในปี 2008 หรือใน iPhone 3G นั่นเอง
เมืองไทยเองก็เพิ่งจะได้ใช้ 3G จริง ๆ จัง ๆ ในปีนี้ เมื่อ dtac และ AIS เริ่มให้บริการ 3G ในเขตเมืองใหญ่ อาทิ กรุงเทพฯและปริมณฑล เป็นต้น
[ วิวัฒนาการของ 3G ]
"แล้ว 3G แตกต่างจาก 2G อย่างไร?"
คำว่า 3G นั้นย่อมาจาก "3rd Generation" หรือยุคที่ 3 ของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ
หากย้อนเวลากลับไป เราจะพบว่า โทรศัพท์มือถือพึ่งถือกำเนิดขึ้นราวปี 1973 (พ.ศ. 2516) เท่านั้น
และกว่าจะถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย ก็อีก 6 ปีให้หลัง ในปี 1979 (พ.ศ. 2522) เมื่อ NTT Docomo ได้วางเครือข่าย “1G” ขึ้นในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเชิงพานิชย์ครั้งแรกของโลก
เครือข่าย 1G นั้นมีจุดอ่อนในเรื่องของระบบสัญญาณ ที่เป็นสัญญาณ Analog หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องการ “จูนคลื่นสัญญาณ” และ “การดักฟังโทรศัพท์” สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคนี้นั่นเอง
กว่าสิบปีให้หลัง ในปี 1991 (พ.ศ. 2534) ระบบเครือข่ายโทรศัพท์ Digital “GSM” ที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า “2G” ก็กำเนิดขึ้นในประเทศฟินแลนด์ และแพร่หลายไปทั่วโลก
ระบบ Digital นั้นกำจัดจุดบกพร่องของระบบ Analog ทิ้งไป รวมถึงนำบริการใหม่ ๆ มาสู่โทรศัพท์มือถือด้วย ไม่ว่าจะเป็นบริการส่งข้อความ (SMS) หรือการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
(โทรศัพท์มือถือ 3G ในยุคแรก ๆ ยังต้องมีเสาสัญญาณยื่นออกมาเพื่อการรับสัญญาณที่ดี)
สิบปีถัดมา NTT Docomo เจ้าเดิม ได้ให้บริการ “3G” ขึ้นครั้งแรกในโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2001 (พ.ศ. 2544) โดยชูจุดขายเรื่องความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่สูงถึง 384kbps เมื่อเทียบกับอินเทอร์เน็ตตามบ้านสมัยนั้น ที่มีความเร็วเพียง 56kbps แล้ว ถือว่าเป็นความเร็วที่สูงกว่ามาก
แต่เทคโนโลยี 3G กลับยังไม่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการอัพเกรดเครือข่ายที่สูงจนเกินไปในการวางระบบใหม่ ทำให้ทั่วโลกยังเลือกที่จะใช้งาน 2G กันต่อไป
ปี 2003 (พ.ศ. 2546) เทคโนโลยีทดแทน อย่าง “GPRS” และ “EDGE” ถูกนำมาใช้งานแทนที่ 3G ในขณะนั้น ด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่ายในการติดตั้งที่ประหยัดกว่า และผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ ณ เวลานั้น ยังไม่พร้อมที่จะใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสักเท่าไร (ลองนึกถึงโทรศัพท์มือถือเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วสิครับ เราใช้อะไรกันอยู่?)
ในที่สุด ปี 2008 (พ.ศ. 2551) เทคโนโลยี 3G ก็เริ่มแพร่หลายสู่สากลโลก โดยมาในเวอร์ชันอัพเกรด อย่าง “HSPA” หรือ 3.5G ที่ให้ความเร็วในการเชื่อมต่อสูงกว่าเทคโนโลยี 3G เดิมมาก กอปรกับปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือมีสูงขึ้น ผู้ให้บริการจึงอัพเกรดเครือข่ายกันยกใหญ่ทั่วโลกนั่นเอง
[ อภิธานศัพท์ ]
GPRS หมายถึง General Packet Radio Service หรือเครือข่าย 2.5G มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุดที่ 56kbps
แต่ GPS คือ Global Position System ระบบระบุพิกัดที่ตั้ง โดยใช้ดาวเทียม ไม่เกี่ยวอะไรกับเครือข่ายมือถือเลย
EDGE ย่อมาจาก Enhanced Data rates for GSM Evolution หรือ GPRS เวอร์ชันอัพเกรด ให้ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุดที่ 236.8kbps
ในปัจจุบัน ประเทศไทยใช้เครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่รองรับการใช้งาน EDGE ทั่วประเทศแล้ว
แต่ถึงกระนั้น GPRS และ EDGE มีข้อจำกัดด้านการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ประการหนึ่ง คือไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์เพื่อโทรออก-รับสาย ไปพร้อม ๆ กับใช้อินเทอร์เน็ตได้
แต่ข้อจำกัดนี้ ถูกแก้ไขในเทคโนโลยียุค 3G ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “UMTS”
UMTS ย่อมาจาก Universal Mobile Telecommunications System เป็นโครงข่ายพื้นฐานของ 3G โดยมีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุดที่ 384kbps
แต่แค่ 3G ธรรมดานั้นไม่พอใช้แล้วในปัจจุบัน จึงมีการพัฒนาเครือข่าย 3G มาอย่างต่อเนื่อง แบ่งได้ ดังนี้
HSDPA ย่อมาจาก High-Speed Downlink Packet Access เป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มขีดจำกัดด้านความเร็วในการดาวน์โหลด หรือรับข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต จากเดิม 384kbps เป็น 1.8Mbps (1800kbps) จนถึง 14Mbps
ในขณะเดียวกัน ก็มี HSUPA หรือ High-Speed Uplink Packet Access ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลเช่นกัน เมื่อนำทั้งสองตัวมารวมเข้า จึงเรียกใหม่ว่า HSPA (High-Speed Packet Access)
และขั้นสูงสุดของ HSPA คือ HSPA+ หรือชื่อทางการตลาดว่า 3.9G หรือ 3G+ ก็ได้เพิ่มขีดจำกัดสูงสุดของการรับ-ส่งข้อมูลไปถึง 42Mbps
(กราฟแสดงความเร็วสูงสุดที่ iPhone รองรับ คลิกที่รูปเพื่อดูรูปขนาดเต็ม)
หากดูจากกราฟ iPhone รุ่นแรกรองรับเพียงแค่ EDGE ที่ความเร็ว 236.8kbps เท่านั้น
ในขณะที่ iPhone 3G ขยับขึ้นมารองรับ HSDPA ที่ความเร็ว 3.6Mbps และ iPhone 3GS ก็รองรับไปสูงขึ้นถึง 7.2Mbps
เมื่อถึงยุค iPhone 4 ก็ขยับมารองรับ HSUPA (จะเห็นว่าความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดทำได้ดีขึ้น)
และใน iPhone 4S ก็รองรับ HSPA+ ที่ความเร็วถึง 14.4Mbps ทีเดียว
[ 3G ในประเทศไทย ]
สำหรับในประเทศไทย ผู้ให้บริการรายใหญ่ทั้ง 3 ราย (dtac, AIS, true) ได้ให้บริการเครือข่าย 3G อย่างเป็นทางการในปีนี้ โดยมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมแตกต่างกันไป
ในด้านของความเร็ว ทั้ง 3 เจ้าใช้ “HSPA+” หรือชื่อทางการค้าว่า 3G+ ที่ความเร็ว 42Mbps กันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น dtac หรือ AIS ก็เช่นกัน (การจะได้ความเร็วสูงสุดตามทฤษฎี เสาในบริเวณนั้นต้องมีคนใช้คนเดียว และอุปกรณ์รองรับถึง ซึ่งแม้แต่ iPhone 4S ยังรองรับเพียง 14.4Mbps เท่านั้น)
โดยเสาสัญญาณจะปล่อยคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน ทำให้ iPhone 3G และ iPhone 3GS ไม่สามารถใช้งาน 3G ของ AIS ได้
นั่นหมายความว่า ผู้ใช้ iPhone 4 และ iPhone 4S สามารถเลือกใช้งาน 3G ในประเทศไทยได้อย่างอิสระ แต่ผู้ใช้งาน iPhone 3G และ iPhone 3GS จะเลือกใช้ได้เพียง dtac และ true
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.dtac.co.th